แผลเป็น
แผลเป็น แบ่งได้เป็น 3 ลักษณะ ได้แก่
1. แผลเป็นโตนูน มี 2 แบบ
-
แผลเป็นนูน (Hypertrophic scar) คือ แผลเป็นที่โตนูน มีความหนา แต่ขนาดไม่ขยายเกินขอบเขตของแผลเดิม
-
คีลอยด์ (Keloid) คือ แผลเป็นที่โตนูน และขนาดขยายเกินขอบเขตของแผลเริ่มต้น (ทั้งนูนหนา และมีขนาดใหญ่กว่าแผลเริ่มต้น)
2. แผลเป็นลึกบุ๋ม
3. แผลเป็นที่มีการหดรั้งร่วมด้วย (Scar contracture) จะดึงรั้งให้อวัยวะบริเวณแผลผิดรูป
คีลอยด์ (Keloid)
คือ แผลเป็นที่มีลักษณะนูนเพิ่มขึ้น และขยายขนาดเกินกว่าขอบเขตของแผลเริ่มต้น ลักษณะดังกล่าวอาจเกิดขึ้นทันทีที่แผลหาย หรือหลังจากที่แผลหายดีแล้วระยะเวลาหนึ่ง อาจใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปีในการก่อตัว ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา แผลเป็นคีลอยด์จะขยายขนาดใหญ่ขึ้น คีลอยด์สามารถเกิดได้ทุกส่วนของร่างกาย แต่มักพบได้บ่อยที่ หัวไหล่ ติ่งหู หน้าอก บริเวณหลังส่วนบน และบริเวณอวัยวะที่ขยับหรือเคลื่อนไหวบ่อย พบในคนที่มีสีผิวเข้มมากกว่าผิวขาวถึง 5 เท่า พบในวัยรุ่นมากกว่าผู้ใหญ่หรือวัยชรา และมักพบในคนที่มีประวัติ การเกิดคีลอยด์ในครอบครัว
สาเหตุ
ยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดที่แท้จริง เชื่อว่าคีลอยด์เกิดจากความผิดปกติของกระบวนการหายของแผลตามธรรมชาติ โดยจะมีการสร้างคอลลาเจนเพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหายมากเกินกว่าปกติ โดยคีลอยด์จะค่อยๆ ขยายขนาดและนูนขึ้นกว่าแผลเริ่มต้น
อาการ
ส่วนใหญ่มีอาการคันที่คีลอยด์ มากน้อยขึ้นกับแต่ละบุคคล การเกาจะทำให้คีลอยด์นูนและขนาดใหญ่ขึ้น บางคนอาจมีอาการเจ็บและตึงที่คีลอยด์
การรักษา ทำได้หลายวิธี ได้แก่
1. การผ่าตัด ทำโดยผ่าตัดคีลอยด์ออกหรือลดขนาดให้เล็กลง มักใช้ในกรณีที่คีลอยด์มีขนาดเล็กและเกิดในบริเวณที่สามารถเย็บแผลได้ หลังการรักษาโดยการผ่าตัดมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ แพทย์มักทำการผ่าตัดร่วมกับการฉีดยาหรือวิธีการรักษาอื่น
2. Pressure garment คือ ผ้ายืดที่ตัดเพื่อกดรัดบาดแผล โดยใช้แรงกดที่สม่ำเสมอสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อช่วยทำให้แผลเป็นนิ่มและเรียบขึ้น การใช้ pressure garment ควรเริ่มใช้ทันทีที่บาดแผลหายสนิท โดยใส่ต่อเนื่องอย่างน้อย 16-20 ชั่วโมงต่อวันเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน
3. การฉีดยา เป็นการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าไปที่คีลอยด์โดยตรง (Intralesional steroid injection) โดยฉีดต่อเนื่องทุก 1 เดือน ทั้งนี้ความถี่ในการฉีดขึ้นอยู่กับการตอบสนองของคีลอยด์ต่อยา ตัวยาจะลดกระบวนการอักเสบของแผล และยับยั้งการสร้าง collagen และ glycosaminoglycan ลด fibroblast proliferation และกระตุ้นกระบวนการ collagen and fibroblast degeneration 29,38 การรักษาด้วยการฉีดยาเข้าไปที่คีลอยด์อาจใช้เป็นการรักษาเดี่ยวๆ หรือรักษาร่วมกับวิธีอื่น เช่น ฉีดหลังผ่าตัด ซึ่งพบว่าลดอัตราการกลับมาเป็นอีก (recurrence rate) ได้เฉลี่ยถึง 50%
4. Topical Silicone gel การใช้ silicone gel จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับแผล โดยช่วยลด capillary permeability, กระบวนการอักเสบ (inflammation process) และ กระบวนการสร้างคอลลาเจน (collagen synthesis process) การใช้ควรเริ่มใช้ทันทีที่กระบวนการ epithelialization เสร็จสมบูรณ์ โดยรูปแบบที่ใช้มีทั้งแบบที่เป็นเจลทาแผลหรือเป็นแผ่นปิดแผล ซึ่งต้องปิดอย่างน้อย 12-24 ชั่วโมงต่อวัน หรือเว้นเฉพาะเวลาอาบน้ำ การใช้ silicone gel สามารถใช้เป็นการรักษาเดี่ยวหรือใช้ร่วมกับการรักษาวิธีอื่น
5. การรักษาด้วยเลเซอร์ โดยเลเซอร์จะกระตุ้น fibroblast apoptosis และกระตุ้นการสลาย collagen ทำให้เนื้อเยื่อหรือพังผืดบริเวณคีลอยด์เกิดการเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ,ทำลายเส้นเลือดที่มาเลี้ยงคีลอยด์ ทำให้คีลอยด์ฝ่อลง, ทำลายเนื้อเยื่อคีลอยด์
6. การฉายรังสี เพื่อป้องกันไม่ให้คีลอยด์นูนขึ้นและขยายใหญ่ขึ้น นิยมใช้หลังการผ่าตัดคีลอยด์ พบว่ามีประสิทธิภาพการรักษาสูงถึง 65-99% ไม่นิยมใช้เป็นการรักษาเดี่ยว (monotherapy) เนื่่องจากต้องใช้รังสีในปริมาณสูงมาก ซึ่งอาจก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังตามมาได้
ปัจจุบันพบว่ายังไม่มีวิธีการรักษาแผลเป็นคีลอย์วิธีใดที่ได้ผลดีที่สุด การรักษาคีลอยด์ที่ดีที่สุดจึงเป็นการใช้การรักษาหลายวิธีร่วมกัน เช่น การผ่าตัดร่วมกับฉีดยาเข้าไปที่คีลอยด์ หรือ การฉีดยาเข้าไปที่คีลอยด์ร่วมกับการใช้แผ่นซิลิโคนแปะ เป็นต้น แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยและให้การรักษาที่ถูกต้อง เหมาะสม
การป้องกัน
พยายามหลีกเลี่ยงการทำให้เกิดแผล โดยเฉพาะในคนที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นคีลอยด์มากกว่าคนทั่วไป สามารถสังเกตได้จากรอยการฉีดวัคซีนที่บริเวณหัวใหล่ หากพบว่ามีแผลเป็นนูน นั่นหมายถึงมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นคีลอยด์ได้ง่าย หากพบว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเป็นคีลอยด์ได้ง่ายจะต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดแผล หากมีแผลเกิดขึ้นจะต้องดูแลและทำความสะอาดแผลอย่างดี ไม่แกะเกาจนแผลลุกลามติดเชื้อ จะช่วยลดโอกาสการเกิดคีลอยด์ได้